Monday, March 26, 2007

เพชรา

เพชรา
1
เราคิดถึงชื่อนี้ขึ้นมาตอนที่เห็น ภาวนา ชนะจิตทางทีวีตอนตีสาม เธอเป็นพิธีกรรายการพาเที่ยว พาชิมอะไรสักอย่างหนึ่ง ภาพของ “ไข่มุกแห่งเอเชีย” ที่เราเคยเห็นในหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติผุดขึ้นมาทันที เธอเป็นดาราที่โด่งดังมากในยุคหนึ่ง จนเมื่อนึกถึงดารารุ่นใหม่ ๆ เราก็นึกไม่ออกเลยว่าใครจะมีบารมีเท่าเธอได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นอกจากจะไม่ใช่ช่วงไพร์มไทม์ที่เป็นของเธอแล้ว เธอก็ถูกลืมไปจากหัวใจของใคร ๆหลายคน

จนเรานึกสงสัยว่าชื่อเสียงจะมีค่าอะไร เพราะท้ายที่สุดทุกคนก็จะถูกลืมอยู่ดี

2
“ตัดดีไหมพี่” เราถามช่างทำผมอีกเป็นครั้งที่สาม เธอเป็นช่างทำผมที่ใจดีพอที่จะมานั่งอธิบายให้เราฟังว่าผมแบบนี้ หน้าแบบนี้จะต้องทำผมอย่างไร และเพราะการตัดผมสั้นเป็นการทำเบบี้เฟซแบบเร่งด่วน เราเลยอยากตัดผมบ๊อบเทแบบจีจี้ (ที่ดูกราฟฟิคมากกว่าบ๊อบเทบ้านๆ ซึ่งหมายความว่าเท่กว่ากันเป็นกอง)

“บอกว่าไม่สวยยังทนได้ แต่บอกว่าแก่นี่ มันทำอะไรไม่ได้เลยนะพี่” ช่างทำผมหัวเราะก๊ากทันที และวันนั้นเราก็เดินออกจากร้านมาโดยที่ไม่ได้ตัดผม

“ฮัลโหล” เสียงของเพชรา เชาวราษฎร์รับสาย หัวใจเราเต้นแรงมาก ๆ ช่วงที่เขียนบทโทรทัศน์ “พงศาวดารหนังไทย” หน้าที่ของเราคือการขลุกอยู่ที่หอภาพยนตร์แห่งชาติ ภาพใบหน้าตอนหนุ่มสาวของสรพงศ์ ชาตรี สุเชาว์ พงษ์วิไลและยังพิสมัย วิไลศักดิ์อีกละ เหมือนเป็นภาพที่หลุดออกมาจากโลกอื่น เพราะเมื่อเราเห็นคนเหล่านี้โลดแล่นอยู่บนจอ เขาก็ไม่ได้มีใบหน้าเต่งตึง เยาว์วัยแบบนั้นอีกแล้ว

แล้วเราก็พูดสิ่งที่ซ้อมมาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เจ้านายของเราอยากให้เพชรามาออกรายการ ซึ่งเราก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าโอกาสที่เธอจะมาปรากฏตัวมีน้อยมาก เธอซักถามถึงรายละเอียดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนที่จะปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเธออยากอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครเคยเห็นเธออีกเลยหลังจากที่เธอสูญเสียการมองเห็น และเธอก็ฉลาดพอที่จะหยุดความทรงจำของทุกคนไว้ตรงช๊อตที่เธอคิดว่าคือความหอมหวานของชีวิตที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหวนมาอีก

“ตอนแรกไม่ชอบชื่อนี้เลย เพราะมันออกเสียงเหมือนคำว่า เพชร-ชรา” เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้อย่างนี้ เพชราเป็นนักแสดงภาพยนตร์อาชีพโดยแท้จริง เชื่อไหมว่าเธอเป็นนางเอกหนังกว่า 300 เรื่อง !

เจ้าหน้าที่หอภาพยนตร์บอกเราว่าทุกวันนี้เพชรายังออกไปทำผม เดินช้อปปิ้งข้างนอกเหมือนคนปกติโดยมีคนรับใช้เป็นคนพาไป แต่เธอจะไม่แสดงตัวว่าเธอเคยเป็นเพชรา ดาราขวัญใจชาวไทยที่คำว่าโด่งดังยังเป็นคำพูดที่น้อยเกินไป แว่นตาสีดำจะเป็นตัวปกปิดเธอจากแฟนภาพยนตร์บางคนที่อาจจะจำเธอได้ บางครั้งเมื่อเห็นหญิงสูงวัย ท่าทางเฉี่ยวในแว่นตาดำตามห้าง เราเป็นต้องหยุดมองพลางคิดว่านั่นใช่เพชราหรือเปล่า?
3

ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า ปีนี้เป็นปีที่คนรอบข้างเราแก่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นเพราะเราเพิ่งมาสนใจเรื่องความแก่เลยเพ่งแต่จะดูว่าใครแก่ เฮ้อ...พี่สาวเรารีบหาครีมที่ดีที่สุดมาใช้เพราะหน้าเธอเหี่ยวขึ้น แม่บอกเราว่าปีนี้ตามองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ และไหนจะยังลุงที่ผมขาวไปทั้งหัวจนเราตกใจ ลูกพี่ลูกน้องที่เราเคยเห็นว่าเขาสวยที่สุดก็เริ่มกลายเป็นซิ้มและขึ้นคาน และที่เครียดสุด ๆก็คือตีนกาและพุงของเราที่ฝังตัวอยู่แนบแน่น จนเรารู้สึกว่าทั้งสองอย่างเคยอยู่ในตัวเรา แต่มันได้ออกเดินทางไกลก่อนที่จะกลับมาเยือน “บ้าน” และไม่หายไปไหนอีก

“สังขารมีเสื่อมเป็นธรรมดา” ใคร ๆก็รู้แต่การทำใจได้มันเป็นคนละเรื่อง เราได้ยินเรื่องของคนมากมายที่บอกว่าเขาชอบตัวเองตอนที่อายุเยอะ ๆ เพราะแม้ร่างกายจะร่วงโรยแต่จะเข้าใจโลกมากขึ้น นั่นแสดงว่าชีวิตเขาต้องมีเรื่องพิเศษแน่ ๆเลยใช่ไหม แต่สำหรับคนที่นอกจากจะแก่ขึ้นแต่การใช้ชีวิตก็ยังถอยหลังเข้าคลองและได้แต่ถวิลหาอดีตละ

เราตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอก เพราะเรายังไม่ได้แก่อย่างจริงจัง ตอนนี้เราเป็นเพียงแค่คนหัดแก่สมัครเล่น
4
หลายวันต่อมา ทางช่องโทรมาบอกเราว่าเพชราโทรมาต่อว่าว่าบทโทรทัศน์ที่เราพูดถึงเธอนั้นมีข้อมูลที่ผิดพลาดไป ซึ่งเราก็ยอมรับความผิดพลาดนั้นแต่โดยดี เราไม่ได้เกิดในยุคนั้น สิ่งที่เรานำมาเขียนก็มาจากข้อมูลในหนังสือพิมพ์ แต่เราก็แอบดีใจนิดหน่อยว่าอย่างน้อยเธอก็ได้ “ฟัง” รายการที่เราเขียนถึงเธอ

เธอจะนั่งอยู่ตรงนั้น หูของเธอได้ยินเสียงคำบรรยายที่บอกว่าเธอเคยโด่งดังแค่ไหน

“ถ้าคนไทยคนไหนไม่รู้จัก มิตร-เพชรา คาดว่าเขาคนนั้นจะต้องเสียสติหรือมาจากดาวดวงอื่นเป็นแน่” มีคนเคยเขียนถึงเธอไว้อย่างนี้และมันก็กลายเป็นประโยคฮิตในเวลาต่อมา

แม้ว่าหลายคนจะลืมเธอแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สิ่งสำคัญคือเธอจะจำตัวเองในแบบไหน ชื่อเสียงเป็นความจอมปลอมจริงอยู่ แต่การได้มาซึ่งชื่อเสียงต่างหากที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย มันก็เหมือนกับคำพูดเชย ๆที่เราเคยได้ยินกันมาว่าชีวิตนี้เป็นของเรา- อะไรทำนองนั้น

เพชร-ชรา เพชร-ชรา ตอนนี้เธอจะชอบชื่อนี้ได้อย่างเต็มหัวใจหรือยัง?
“บอกว่าไม่สวยยังทนได้ แต่บอกว่าแก่นี่ มันทำอะไรไม่ได้เลยนะพี่”
บางทีช่างทำผมอาจจะหัวเราะเยาะเรา-ว่าเพิ่งมารู้เอาป่านนี้เหรอน้อง!

Monday, March 19, 2007

61 วินาที

วันก่อนแม่บอกเราว่าให้กินดีท็อกซ์ที่มีส่วนผสมของคลอโรฟิลด์แอนด์ บลา บลา บลา อันมีคุณสมบัติช่วยขับสารพิษในร่างกาย และเพราะไม่ตั้งใจฟัง เราเลยเทเจ้าซองนั้นหนึ่งซองผสมน้ำหนึ่งขวดแล้วกินจนหมด เพิ่งมารู้ทีหลังว่าต้องผสมในอัตราส่วน 1 ซองต่อน้ำ 4 ขวด...เกือบไปแล้วไหมละ

เพื่อนเราคนหนึ่งใฝ่ฝันว่าเธออยากจะไปเห็นทัชมาฮาลสักครั้ง เพราะมันคือสัญลักษณ์ของความรักอันยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่เราเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันคือตอนที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จนั้น พระเจ้าชาห์ ชะฮานคิดว่าหากปล่อยให้นายช่างกว่าหมื่นคนเล็ดลอดออกไปได้ ก็อาจจะไปสร้างสถาปัตยกรรมที่งดงามกว่าทัชมาฮาลก็เป็นได้ พระองค์จึงทรงสั่งให้สังหารทุกคนอย่างเลือดเย็น เพื่อเซ่นสังเวยความเป็นหนึ่งเดียวของอนุสรณ์สถานแห่งความรักนี้ แน่นอนว่าเราไม่บอกเรื่องนี้กับเพื่อน และเมื่อวันที่เธอไปยืนดูทัชมาฮาลมาถึง เธอก็จะเห็นแต่สิ่งที่เธออยากเห็น

ศิลปินคนหนึ่งบอกเราว่าการที่ศิลปินต่างตะเกียกตะกายหาที่แสดงงาน แม้งานนั้นจะไม่สามารถทำให้เขามีชื่อเสียงภายใน 15 นาที แต่อย่างน้อยสังคมก็จะมี “ข้อมูลคร่าว ๆ” ของเขาอยู่ในหัว อย่างน้อยกูเกิ้ลก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา...บ้างก็ยังดี

พักนี้เราเลยชอบคิดเรื่อง “ข้อมูลคร่าว ๆ” บ่อย ๆ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ “รู้อะไรรู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจักเกิดผล” แต่เราหมายถึงการที่ข้อมูลรอบตัวเรามันเยอะแยะไปหมด หรือการที่แม้แต่ตัวเราเองก็เบื่อ ไม่มีแก่ใจ รำคาญไปจนถึงไม่ว่างกับการรับรู้ สิ่งที่เห็นหรือได้ยินจึงเป็นเหมือนเศษนุ่นที่ลอยพัดผ่าน เหมือนภาพตัดสลับที่โผล่มาแล้วหายไปในชั่วกระพริบตา แต่เพราะชีวิตคือเรื่องของประสบการณ์ เราจึงเติบโตมาเป็นเราทุกวันนี้โดยมีคอนเซ็ปต์เรื่องคร่าว ๆ เป็นของขวัญ แต่มองอีกด้านถ้าเราไม่มีเรื่องคร่าว ๆนี้เลย โลกคงหดเหลือนิดเดียวเอง สมองเราคงไม่มีพื้นที่ให้ฟุ้งซ่าน เราไม่ได้โลภมากถึงขั้นคิดว่าตัวเองต้องรู้ลึกกับทุกเรื่อง เข้าใจมนุษย์ทุกคนไปถึงรูขุมขนหรอกนะ เพียงแต่สงสัยว่าถ้าเป็นอย่างนี้มาก ๆเข้า เราจะกลายเป็นคนชุ่ยในการมองโลกหรือเปล่า

บางวันเรามีโอกาสมองดูท้องฟ้าแค่คร่าว ๆ ยังไม่ได้รู้จักกันดีเลย ก็ต้องรีบวางสายตาจากท้องฟ้าไปทำอย่างอื่น เราว่าการไปทำ “อย่างอื่น” อยู่เรื่อยๆ นี่แหละ ที่ทำให้เราไม่เคยทำอะไรที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองไปตลอดกาลได้สักที มีชีวิตอย่างคร่าว ๆ แต่ไม่เคยมีชีวาจริงๆ

เด็กในอินเดียถูกซื้อตัวไปเป็นโสเภณีในราคา 1500 บาท แต่คำถามคือว่าตัวเลขนี้คือเมื่อปีไหน ครั้งหนึ่งเราเคยนั่งทำงาน และได้ยินข่าวต่างประเทศจากช่อง 7 รายงานว่ามีการค้นพบที่น่าตื่นเต้นยิ่งของนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือทุกวันนี้ หนึ่งนาทีนั้นมีค่าเท่ากับ 61 วินาทีทั้ง ๆที่ก็ตื่นเต้นนะ แต่ทำไมเราถึงไม่ยอมละสายตาจากหน้าคอมก็ไม่รู้ สักพักข่าวนี้ก็จบลงโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่นั่งใจลอยบนรถเมล์เราก็ค้นพบว่าตัวเองกำลังคิดเรื่อง 61 วินาทีแต่ก็ไม่มีอะไรที่จะนำมาปะติดปะต่อได้ 61 วินาทีแล้วไง? เหมือนผีพุ่งไต้ที่โผล่มาแล้วก็หายไป ไม่สามารถสร้างประโยชน์อันใดจากข้อมูลที่สั้นขนาดนี้

เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ เราชอบอ่านข่าวสั้นที่เป็นกรอบเล็ก ๆ อยู่หน้าหลัง ๆ ทำนองว่านายคำฟันตาแสงผู้เป็นพ่อตาย นางสวาทร้องเรียนว่ากระเป๋าตังค์หาย มันเป็นข่าวที่ยาวราว 10 บรรทัด อ่านยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรก็จบแล้ว หากมีมนุษย์ต่างดาวเอามีดมาจี้เราและถามว่าเรามีชีวิตอยู่ไปทำไม เราคงตอบเขาไปว่าชีวิตเรามันแหว่งวิ่นในเรื่องความลึก ล้นเกินในเรื่องทั่ว ๆไป มีความใจลอยเป็นตัวเชื่อมเรากับโลกนี้ และความรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางตลอดเป็นแรงขับเคลื่อนให้หายใจไปวัน ๆ

คนที่รายล้อมเราทุกวันนี้เหมือนเป็นคนในข่าวสั้น รู้จัก..เราเคยรู้จักกันก่อนไหม เราอาจจะเคยไปเมนท์บล๊อกคุณ จำได้ว่าคุณชอบไปกินไอติมร้านหนึ่งแถวสยาม เข้าใจ....เราจะเข้าใจคุณได้ยังไง ในเมื่อโลกของภาษาเป็นโลกที่พูดความจริงเท่าที่ใจรู้สึกได้เพียงคร่าว ๆและยิ่งถ้าคุณไม่มีความสามารถในการพรรณนา โลกก็ไม่มีวันเห็นหรอกว่าคุณรู้สึกรู้สากับสิ่งไหนมากแค่ไหน มีคำพูดที่บอกกันต่อๆ มาว่า แม้ความโรแมนติคจะเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองซึ่งจะหายไปตามกาลเวลา แต่ความรักไม่ใช่เรื่องของอะไรที่ซับซ้อนหรอก นอกจากการเห็นชีวิตของกันและกันอย่างทะลุปรุโปร่งและยอมรับมันได้

นักเขียนคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า คนเราทุกวันนี้เหมือนตัวละครที่ไม่มีหน้า แต่เราว่าไม่มีหน้านั่นก็ยังดีนะ เพราะอย่างน้อยก็แสดงว่าเรากับคนนั้นไม่มีความเชื่อมโยงอะไรกัน แต่การที่ต้องเชื่อมโยงกันแบบคร่าว ๆแบบการมีแค่คีย์เวริดเป็นตัวอธิบายสิน่ากลัวกว่า เราเห็นตา เห็นคิ้วแต่ไม่เห็นปากเขา นี่ก็ไม่ต่างจากใบหน้าของสัตว์ประหลาดชัด ๆ

อ้อ....ถ้าคุณจะจำเรื่อง 1 นาทีมี 61 วินาทีไปเล่าให้ใครฟัง ช่วยจำไว้หน่อยนะคะว่าข่าวนี้ออกทางช่อง 7 สี แต่คุณรู้เรื่องนี้ผ่านบล๊อกโดยผู้หญิงคนหนึ่ง....ซึ่งคุณอาจจะไม่รู้จักหรือรู้จักเธอก็เพียงแค่คร่าว ๆ

Sunday, November 05, 2006

Hanoi

I am in Hanoi at the moment.
Hanoi is a great city, placed itself between Bangkok and Kathmandu atmospherically.
Best of Hanoi for me not for Vienamese food being but French patisserie.
Sipping coffee by the serene lake in the midst of Hanoi's cool breeze is real experience.
Not too costly to be here.

I sat there, by the lake, soaked by the historical story about the lake, looking at people passes by and wondering where people goes.
We are not the same ones as 25 years before, as such the world.
What left here for eternity are corpse of imaginaries.
Like that myth hovered the lake and reflected in the water puppet show.

Hanoi is more green than Bangkok, less fake, more honk. Conjured by some myths but not that mithril.

ไลฟ์สไตล์และลาเต้ เอฟเฟค

ช่วงนี้ใคร ๆก็พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกันจัง จนถ้าฉันเกิดร่ำรวยล้นฟ้าขึ้นมาแล้วไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมาถือ
คงได้โดนด่าว่าเป็นพวกไม่สนใจชาวเอธิโอเปียเป็นแน่ นับว่าเป็นโชคดีแท้ ๆ ที่ฉันยังคงคอนเซ็ปต์อ่อนไหวและยากจนไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาและก้มหน้าก้มตามีเศรษฐกิจพอเพียงไปอย่างหน้าชื่นตาบาน

คุณพี่วุฒิชัยเคยพลัดหลงมาเยือนแถว ๆ อพาร์ทเม้นท์ฉัน วันนั้นฉันเลยพาไปเดินชมโลกลี้ลับของฉันเสียจนคุณพี่ตกใจ
ฉันพาคุณพี่ไปร้านโปรดของฉันคือสหกรณ์กรุงเทพ (ที่นี่มีร้านขายหนังสือที่เจ้าของออกแนวจิตวิญญาณ ๆ อยู่ร้านหนึ่ง มี "โลกหนังสือ" ขายแค่เล่มละยี่สิบบาท และสินค้าของที่นี่ทำให้เกิดบรรยากาศถวิลหาอดีตอย่างลึกซึ้ง) ถัดจากนั้นก็พาไปเดินแผนกไอทีของพาต้า ปิ่นเกล้า (ดีแค่ไหนที่ไม่พาไปดูคิงคอง) ผลคือคุณพี่บอกว่า "ไลฟ์สไตล์ของฉันนั้นมันอุบาทว์สิ้นดี" ไม่มีความคูลใด ๆทั้งนั้น แถมยังหาว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันคงเป็นพวกใช้ผ้าฝ้ายพัน ๆไว้รอบคอ (เหมือนเหล่าเอ็นจีโอ) ใช่ไหม อู๊ย...ไม่ใช่หรอกค่า ว่าไปนั่น!!

ฉันไม่มีปัญหากับความไม่คูลของตัวเองและมีความสุขดีพอสมควร
บางครั้งสุขมากจนอิจฉาตัวเอง แต่วันไหนที่ทุกข์มาก ฉันก็แค่ไปนอนให้คุณหมอนวดบีบเฟ้นไปตามร่างกาย ด้วยเงินแค่ 250 บาท โลกก็น่าอยู่ขึ้นเป็นกอง

ฉันชอบหนังสือเรื่อง "จะเลือกเงินหรือชีวิต" มาก และเราหลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง การเลือกหินที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองใส่ไว้ในขวดโหลก่อน หาไม่แล้วคุณจะไม่สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้จริง ๆ
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องไลฟ์สไตล์อันไม่เก๋ของฉันหรอก แต่ฉันว่าถ้าเรามีความสุขก็พอ ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรอีก

ฉันไปกินข้าวที่พารากอนครั้งแรกเพราะคุณน้องโอปอกับคุณน้องบุ๊ยพาไป มันอร่อยมากกกกจนฉันตื่นตะลึง ทำไมข้าวไข่เจียวจานละ 50 บาทถึงอร่อยฉิบหายวายป่วงขนาดนี้ นาน ๆ กินทีก็เข้าท่าเหมือนกัน
ล่าสุดเพื่อนรักของฉันที่ตั้งแต่จบมาไม่เคยทำงานอย่างจริงจังเพราะมีแฟนดีคอยหาเลี้ยง โทรมาบอกว่าเธอได้งานที่บ้านเกิดแล้ว เงินเดือนตั้ง 7 พันกว่าบาทแน่ะ ด้วยเงินขนาดนี้เธอจะสามารถมีเงินเก็บได้ราว 3 พันบาทต่อเดือน ผลคือฉันเป็นลมล้มตึงไปเลย !

วันนี้อ่านเจอในคลีโอเรื่อง "ลาต้ เอฟเฟค" คือการใช้เงินกับเรื่องไม่เป็นเรื่องวันละเล็กละน้อย ผลคือนานวันเข้ามันก็จะสะสมเป็นเงินก้อนโต เฉกเช่นการกินกาแฟลาเต้แก้วละ 50 บาท ทุกวัน ปีหนึ่งจะตกถึง 7200 บาทแน่ะ

พรุ่งนี้ฉันจะเริ่มเก็บเงินให้ได้! แต่ขอเป็นพรุ่งนี้จริง ๆ นะ วันนี้ขอไปเดินสหกรณ์กรุงเทพก่อนแล้วกัน

Friday, November 03, 2006

เร็วไม่ว่า ช้าให้เป็น

ช่วงนี้กำลังดื่มด่ำกับหนังสือที่แค่เห็นหน้าปกกับคอนเซ็ปต์เล่มก็รู้แล้วว่าต้องชอบ ๆ แน่ ๆ"เร็วไม่ว่า ช้าให้เป็น"
คนเขียนได้แรงบันดาลใจจากความตื่นตะลึงของ "นิทานก่อนนอนหนึ่งนาที" สังคมมันน่าเศร้าขนาดนี้เลยละ
จนต้องย่อซินเดอเรลล่าและคนแคระทั้งเจ็ดให้มาอัดแน่นกันในความยาวหนึ่งนาที

เวลาอ่านฮาวทูของฝรั่งต้องยอมรับว่าเค้าเขียนเก่งจริงๆ เข้มข้นด้วยข้อมูลมาก ๆ
ฉันเคยอ่านฮาวทูของไทยในนิตยสารหนึ่ง เค้าเขียนเรื่องวิธีไปวัด ไว้ว่า 1 อย่าแต่งตัวโป๊ 2 อย่าฉีดน้ำหอมมากเกินไป 3 วางตัวให้เหมาะสม เวรเอ๊ย.......ที่บอกมาเนี่ย ไม่รู้เลยนะเนี่ย!!!!!!

ในหนังสือเล่มนี้มีที่จิ๊ดใจอยู่ตรงหนึ่งคือ "ความเร็วช่วยให้เราปกปิดความน่าสะพรึงกลัวและแห้งแล้งของโลกสมัยใหม่เอาไว้ ในยุคของเรามีแต่ความปรารถนาที่จะลืม" คนที่พูดก็คือคุนเดอรานั่นเอง

มาคิดดูว่าฉันเคยมีช่วงเวลาที่ชีวิตช้ามาก ๆ ไหม ก็ต้องนึกย้อนไปไกลตอนที่ไปฝึกงานตอนปี 4
เพราะความที่เรียนมานุษยวิทยา เลยต้องลงพื้นที่ไปอยู่กับชาวบ้าน เลือกไปไกลถึงแม่ฮ่องสอนอยู่กับชาวลีซอ
เพราะไม่มี "โทรศัพท์และเครื่องปรับอากาศ" แถมไม่มีทีวีและวิทยุ ตื่นมาก็ทำกับข้าวตามมีตามเกิด
นั่งรอข้าวค่อย ๆสุกจากเตาดินเผา มีเวลาว่างมากขนาดตอนบ่าย ๆมานั่งทำแยมไว้กินด้วยแน่ะ!

แถมยังสนุกกับการหาเหาให้เด็ก ๆ และลามไปหาให้คนเฒ่าคนแก่
มีเวลาไปฟังคนแก่ ๆ ประจำหมู่บ้านเล่านิทานพื้นบ้านที่ไม่มีใครบันทึกไว้
มีเวลาไปเล่นน้ำจนปากซีด และมีเวลามากพอที่จะรู้ว่าคนบ้านไหนไม่ถูกกับบ้านหลังไหน และใครในหมู่บ้านเป็นญาติกันมั่ง หนึ่งเดือนในหมู่บ้าน ผ่านไปช้ามากๆๆๆๆ บางบ่ายที่ร้อนมากๆ ฉันรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ สลับกับความรู้สึกที่ว่าทำไมเราถึงไม่ชินกับความช้าได้สักที ทั้งๆ ที่ลึก ๆแล้วเราก็ชอบมันนะ (งงไหมเนี่ย)
เห็นไหมละว่าความเคยชินคือคำสาปที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์?


กลางคืนท่ามกลางแสงเทียนมืดมิด ก็มีเวลาว่างพอที่จะนึกถึงเรื่องราวที่ไม่เคยคิดว่าจะนึกถึงมาก่อน
นั่นคือช่วงเวลาที่ชีวิตฉันช้าที่สุดแล้ว พอมองย้อนกลับไปถึงได้รู้ว่าอาจารย์ไม่ได้ให้พวกเราไป "ฝึกงาน" หรอก
แต่ให้เราไปเรียนรู้ความเป็นคน ที่ต้องเข้าใจคนอื่นและเข้าใจตัวเองไปพร้อม ๆกัน และนี่คือพื้นฐานสำคัญของการเรียนมานุษยวิทยา

Sunday, October 29, 2006

จากผู้ป่วยะระยะสุดท้ายถึงเพชรฆาตขี้เกรงใจ

ฉันคงแก่ขึ้นจริงๆ แหละเพราะสังเกตว่าพักนี้ชอบคุยกับคนแก่ ๆ


วันเสาร์ แวะเอา GM ไปให้คุณหมอประสาน ต่างใจที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (เพราะดันส่งผิดเล่มไปให้คุณหมอ) ก็เลยถือโอกาสแวะดูคุณหมอตรวจคนไข้ไปด้วย มีอยู่คนหนึ่งเป็น "ศิลปินแห่งชาติ" ที่นอนป่วยรอความตายและเป็นอัลไซเมอร์ด้วย คุณหมอบอกว่าเขามักจะร้องไห้บ่อย ๆ เพราะจำอะไรไม่ได้ (และเราจะทำอะไรมากมายไปทำไม ในเมื่อท้ายที่สุดก็ต้องนอนร้องไห้เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครบนเตียงเหมือน ๆกัน)


มีอยู่คนหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นเอาพ่อมาทิ้งไว้ที่นี่และทุกเดือนเขาจะต้องมาจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลตกเดือนละหมื่นกว่าบาท เขาจ่ายเงินเสร็จแล้วก็ไปโดยไม่แม้แต่จะขึ้นไปเยี่ยมพ่อที่รออยู่ข้างบนทุก ๆวัน ในที่สุดชายคนนั้นก็ตายไปอย่างคนที่รอคอย (ฉันจะไม่มีลูกเด็ดขาด ซื้อประกันเหมือนอย่างที่คุณคำ ผกาว่าไว้ท่าจะดีกว่าเยอะ!)

ฉันชอบคุยกับคนแก่ ชอบมองดูท่าทางเวลาที่เขานึกถึงความหลัง แววตาที่เปล่งประกายและท่าทีเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้ง แต่คน อ่อนไหวและยากจนอย่างฉันไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป ฉันรู้และเข้าใจว่าโลกมันต้องเป็นอย่างนี้แหละ แต่ฉันไม่อยากมองดูแววตาของพวกเขานานเกินไป

"คนไข้คิดถึงท่านมาก โปรดมาเยี่ยมด้วย" นี่คือป้ายที่แขวนไว้หน้าทางเข้า

วันอาทิตย์ไปฟังงานเปิดตัวหนังสือ "เพชฆาตคนสุดท้าย"
แนะนำตัวเสร็จสรรพ ขอเบอร์โทรได้ก็รีบวิ่งแจ้นไปหลบมุม รอฟังเงียบ ๆ
ฉันไม่กล้าอยู่ใกล้เขานาน ๆ รู้สึกว่าเนื้อตัวเขาส่งความหมายบางอย่างที่ทำให้ฉันอึดอัด
พอเขาขึ้นเวที ฉันนั่งฟังไปก็ขนลุกเป็นระยะๆ ผู้ชายคนนี้บอกว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำงานนี้เด็ดขาด


"ช่วย ๆกันไปก่อน ถ้ามีคนมาสมัครงานนี้เมื่อไหร่ ผมจะให้คุณเลิกทันที" ด้วยความเกรงใจและไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร เขาเลยต้องมาเดินบนเส้นทางนี้ 20 ปีผ่านไป ไม่มีใครมาสมัครงานเป็นเพชฆาตสักคน เขาต้องสังหารคนไปกว่า 55 คน และบางคนก็ตายอย่างทรมานเหลือแสน

ประเด็นที่น่าสนใจคือตอนที่ใกล้จะถูกยิงเป้านั้น ทางการจะอนุญาตให้นักโทษ "เขียนจดหมาย" หาใครก็ได้ในระยะเวลาสามสิบนาที และโดยมากคนที่เขาเขียนถึงก็คือ "พ่อและแม่"

คุณเพชฆาตบอกว่าคนที่จะมาเป็นโจรหรือมือปืนรับจ้างนั้น โดยมากมักจะเริ่มต้นจากการ "ถูกเลี้ยงให้เชื่อง" (แหม พลอตเดียวกับเจ้าชายน้อยเลยนะ แต่โรแมนติกต่างกันเยอะ!) เมื่อกินของเขามามากก็ต้องทำงานใช้เขานั่นแหละ

มาคิด ๆดูแล้วทุกวันนี้คนเราก็ "ถูกทำให้เชื่อง" ด้วยวิธีการที่ต่าง ๆกันและบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เช่น ฉันมักถูกทำให้เชื่องด้วยผู้ชายหน้าตาดี ๆ อ่อนไหวนิดหน่อย และจะเชื่องมากขึ้นไปอีก ถ้ามันเกิดนิสัยดีด้วย

เสาร์-อาทิตย์นี้ของฉันจึงวนเวียนด้วย ความตายและความตายเช่นนี้แล

Monday, October 23, 2006

กร้านโลก

จู่ ๆฉันก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมา ตอนที่ไปนอนให้คุณหมอนวด ณ เฮลท์แลนด์กดจุดที่ท้องเพราะความเครียดลงกระเพาะจนอ้วกมาหลายวันติดต่อกัน พี่หมอนวดแกเห็นว่าตัวก็แค่นี้ ทำไมท้องของน้องถึงเต็มไปด้วยเส้นความเครียดที่มันทับถมจนตึงแน่นไปหมด กดตรงไหนก็เจ็บ จนต้องร้องเป็นแมวถูกน้ำ ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเลยบอกแกไปว่านั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานไปหน่อยเลยเครียด!

วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ตลกดี คนเขียนจีบปากจีบคอบอกว่า "อย่าซื้อถุงน่องลายตาข่ายมาใส่เด็ดขาดนะเคอะ ถ้าคุณไม่อยากดูกร้านโลก!"

มานึก ๆ ถึงคำว่า "กร้านโลก" ดูแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่ามันใช่ความหมายเดียวกับ "พอลลูชั่นเมืองหลวงจับ" ที่นิวัติ กองเพียรชอบใช้หรือเปล่า เขายกตัวอย่างให้เห็นว่าตอนที่เพ็ญพักตร์ ศิริกุลเข้ามา กทม ใหม่ ๆ หน้าตาของเธอยังกลมป๊อก ใสซื่อจนไม่มีเสน่ห์ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เมืองหลวงได้ค่อย ๆแกะสลักและเจียระไนให้เธอดูเย้ายวนและเป็นผู้หญิงของเมืองไปจนได้ หันหลับมามองตัวเอง ฉันคงไม่มีทางที่พอลลูชั่นเมืองหลวงจะจับจนกลายเป็นดาวเด่นอย่างคุณเพ็ญพักตร์เป็นแน่ มีแต่อยู่ไป ๆ แล้วจะถูกเมืองทำร้ายจนหน้าตาเหี่ยวแห้งและตายไปโดยมีแมวกำลังแทะศพมากกว่า

ฉันเคยเข้าไปในโรงหนังโป๊และเห็นกระเทยขายตัวอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าเนื้อตัวของพวกเธอมันดูบอบช้ำและอ่อนล้ายังไงไม่รู้ อาจเป็นเพราะพวกเธอมียี่ห้อของคำว่า "กร้านโลก" แปะไว้ก็ได้ เมื่อพวกเธอยิ้ม ฉันก็เลยเห็นแต่ความเริงร่าอย่างเศร้าสร้อย

เพราะชีวิตมีเพียงชีวิตเดียว คนเราจึงมองว่าต้องใช้ให้มันคุ้ม เราเฝ้าฝันถึงการเดินทางที่จะทำให้เรารู้จักโลกและรู้จักชีวิตมากขึ้น จากคำว่ากร้านโลก พวกเขาเรียกมันว่า การผจญภัย เราออกเดินทาง เรียนรู้ อดทน เรียนรู้ อดทน จำเพื่อที่จะลืมมันไปจนหมดสิ้น ไม่เคยมีใครยกย่องคนที่มีชีวิตธรรมดา คนที่นั่งไร้เดียงสา โง่งมอยู่ที่บ้านบนหุบเขา พวกนั้นนอกจากจะขี้เกียจตัวเป็นขนยังไม่กล้าแม้แต่จะมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อเห็นสิ่งต่าง ๆ และโลกก็ไม่เคยเห็นเขาเช่นกัน

ฉันไม่อยากอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ ฉันอยากผจญภัยแต่ไม่อยากกร้านโลก

เราอยู่ในยุคที่ไม่มีใครเชื่อว่าตัวเองจะเป็นคนธรรมดา ความฝันทุกอย่างเป็นไปได้แม้แต่ความฝันโง่ ๆ ในสายตาคนอื่น เราคิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ถ้าเพียงแต่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าเราใช้ชีวิตมาก ๆทำอะไรเยอะ ๆ เราจะเป็นได้มากกว่าที่เคยเป็น

ถ้าฉันแก่ตัวไปและมีใครมาคุยเรื่อง "life talk" กับฉัน ฉันจะเล่าเรื่องราวเข้มข้นที่ทั้งชีวิตฉันได้ประสบมา เพราะฉะนั้นฉันจะต้องเริ่มสะสมการผจญภัยให้มาก ๆ เสียตั้งแต่ตอนนี้ มันน่าเศร้าไปหน่อยไหมที่พอแก่ตัวไป สิ่งที่เราเรียนรู้ก็มาจากการเรียนรู้ชีวิตคนอื่น แต่สิ่งที่เราเรียนรู้จากชีวิตเราจริง ๆมันมีน้อยไปหน่อย

เขียนมาถึงตรงนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะจบเรื่อง "ความกร้านโลก" ของฉันอย่างไร
บางทีพรุ่งนี้ฉันอาจจะรู้!

สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ตอนอายุ 20 กว่า ๆ
1 อย่าทารองพื้นทั้งหน้าเพราะมันจะทำให้ดูหน้าใหญ่
2 การแสกผมกลางหรือข้าง มีผลมหาศาลต่อระดับความดูดีบนหน้า ดูสิ่งที่แมนดี้ มัวร์ ทำกับเธอก่อนและหลังตอนนี้สิ
3 คอสโมและคลีโอคือนิตยสารที่เหมาะแก่การอ่านก่อนนอนมากที่สุดเพราะทำให้เรามึนงงกับความสวยงามของผู้หญิงเหล่านั้น จนต้องรีบนอนเพราะเดี๋ยวผิวจะเหี่ยวก่อนวัยอันควร
4 ไม่ว่าอาชีพ "ยาม"จะได้เงินเดือนเท่าไร มันก็น้อยเกินไปกับหน้าที่ของเขาอยู่ดี
5 อย่ารักผู้ชายเพียงเพราะเขาให้แหวน
6 น้ำผึ้งไม่ได้มีฤทธิ์กล่อมประสาทและทำให้นอนหลับง่าย แต่ไวน์ดี ๆสักแก้วต่างหากที่เป็นสิ่งที่ควรดื่มเพื่อที่จะหลับ
7 ขอรองเท้าที่ใส่สบาย ๆให้ฉันสักคู่และฉันจะพิชิตโลกให้ดู
8 อยู่ห่างคนใจร้ายเข้าไว้ ราคาแห่งความศรัทธาไม่ควรแพงจนเราเกลียดตัวเอง
9 มีสมาธิให้มากขึ้นและชีวิตจะดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
10 คืนวันศุกร์นอนดูกบนอกกะลายังดีกว่าไปนั่งไร้สาระกับกลุ่มเพื่อนที่เราไม่ได้ตั้งใจฟังเขาพูดจริงๆ
11 ฟัง ฟัง ฟังเมื่อคนอื่นพูด
12 ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและลืมมันซะ!
13 คอลัมน์ทำนายดวงใน "คู่สร้างคู่สม" แม่นจนน่าขนลุก
14 มีแต่คนนิสัยดีเท่านั้นที่จะทำงานที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่เย่อหยิ่งอย่าง "การพิสูจน์อักษร" ได้

Sunday, October 22, 2006

เหตุเกิดเพราะแท็กซี่

อยู่ดีไม่ว่าดี ออกไปใช้สังขารที่งานหนังสือ คนมากมายล้านแปดแสน
เลยเป็นลมประชดคนเยอะมันซะเลย น่าเศร้ากว่านั้น เพราะก็ต้องรีบหายหน้ามืด ถ่อสังขารไปแย่งแท็กซี่กับชาวบ้าน
นานแสนนาน กว่าจะได้ขึ้นแท็กซี่ นั่งไปอยู่ดี ๆ พี่ก็ดันตดให้หนูดมซะอย่างนั้น
โอ้! แม่เจ้า เป็นเรื่องที่โหดร้ายสำหรับดิฉันอย่างยิ่ง
เปิดหน้าต่างให้ลมโกรกกรากก่อนที่จะปิด นั่งไปอีกห้านาที พี่ก็ดันตดให้หนูดมอีก (ทำไมไม่อึออกมาเลยละคะ คุณขา)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคนขับแท็กซี่