ช่วงนี้กำลังดื่มด่ำกับหนังสือที่แค่เห็นหน้าปกกับคอนเซ็ปต์เล่มก็รู้แล้วว่าต้องชอบ ๆ แน่ ๆ"เร็วไม่ว่า ช้าให้เป็น"
คนเขียนได้แรงบันดาลใจจากความตื่นตะลึงของ "นิทานก่อนนอนหนึ่งนาที" สังคมมันน่าเศร้าขนาดนี้เลยละ
จนต้องย่อซินเดอเรลล่าและคนแคระทั้งเจ็ดให้มาอัดแน่นกันในความยาวหนึ่งนาที
เวลาอ่านฮาวทูของฝรั่งต้องยอมรับว่าเค้าเขียนเก่งจริงๆ เข้มข้นด้วยข้อมูลมาก ๆ
ฉันเคยอ่านฮาวทูของไทยในนิตยสารหนึ่ง เค้าเขียนเรื่องวิธีไปวัด ไว้ว่า 1 อย่าแต่งตัวโป๊ 2 อย่าฉีดน้ำหอมมากเกินไป 3 วางตัวให้เหมาะสม เวรเอ๊ย.......ที่บอกมาเนี่ย ไม่รู้เลยนะเนี่ย!!!!!!
ในหนังสือเล่มนี้มีที่จิ๊ดใจอยู่ตรงหนึ่งคือ "ความเร็วช่วยให้เราปกปิดความน่าสะพรึงกลัวและแห้งแล้งของโลกสมัยใหม่เอาไว้ ในยุคของเรามีแต่ความปรารถนาที่จะลืม" คนที่พูดก็คือคุนเดอรานั่นเอง
มาคิดดูว่าฉันเคยมีช่วงเวลาที่ชีวิตช้ามาก ๆ ไหม ก็ต้องนึกย้อนไปไกลตอนที่ไปฝึกงานตอนปี 4
เพราะความที่เรียนมานุษยวิทยา เลยต้องลงพื้นที่ไปอยู่กับชาวบ้าน เลือกไปไกลถึงแม่ฮ่องสอนอยู่กับชาวลีซอ
เพราะไม่มี "โทรศัพท์และเครื่องปรับอากาศ" แถมไม่มีทีวีและวิทยุ ตื่นมาก็ทำกับข้าวตามมีตามเกิด
นั่งรอข้าวค่อย ๆสุกจากเตาดินเผา มีเวลาว่างมากขนาดตอนบ่าย ๆมานั่งทำแยมไว้กินด้วยแน่ะ!
แถมยังสนุกกับการหาเหาให้เด็ก ๆ และลามไปหาให้คนเฒ่าคนแก่
มีเวลาไปฟังคนแก่ ๆ ประจำหมู่บ้านเล่านิทานพื้นบ้านที่ไม่มีใครบันทึกไว้
มีเวลาไปเล่นน้ำจนปากซีด และมีเวลามากพอที่จะรู้ว่าคนบ้านไหนไม่ถูกกับบ้านหลังไหน และใครในหมู่บ้านเป็นญาติกันมั่ง หนึ่งเดือนในหมู่บ้าน ผ่านไปช้ามากๆๆๆๆ บางบ่ายที่ร้อนมากๆ ฉันรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ สลับกับความรู้สึกที่ว่าทำไมเราถึงไม่ชินกับความช้าได้สักที ทั้งๆ ที่ลึก ๆแล้วเราก็ชอบมันนะ (งงไหมเนี่ย)
เห็นไหมละว่าความเคยชินคือคำสาปที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์?
กลางคืนท่ามกลางแสงเทียนมืดมิด ก็มีเวลาว่างพอที่จะนึกถึงเรื่องราวที่ไม่เคยคิดว่าจะนึกถึงมาก่อน
นั่นคือช่วงเวลาที่ชีวิตฉันช้าที่สุดแล้ว พอมองย้อนกลับไปถึงได้รู้ว่าอาจารย์ไม่ได้ให้พวกเราไป "ฝึกงาน" หรอก
แต่ให้เราไปเรียนรู้ความเป็นคน ที่ต้องเข้าใจคนอื่นและเข้าใจตัวเองไปพร้อม ๆกัน และนี่คือพื้นฐานสำคัญของการเรียนมานุษยวิทยา