Sunday, November 05, 2006

Hanoi

I am in Hanoi at the moment.
Hanoi is a great city, placed itself between Bangkok and Kathmandu atmospherically.
Best of Hanoi for me not for Vienamese food being but French patisserie.
Sipping coffee by the serene lake in the midst of Hanoi's cool breeze is real experience.
Not too costly to be here.

I sat there, by the lake, soaked by the historical story about the lake, looking at people passes by and wondering where people goes.
We are not the same ones as 25 years before, as such the world.
What left here for eternity are corpse of imaginaries.
Like that myth hovered the lake and reflected in the water puppet show.

Hanoi is more green than Bangkok, less fake, more honk. Conjured by some myths but not that mithril.

ไลฟ์สไตล์และลาเต้ เอฟเฟค

ช่วงนี้ใคร ๆก็พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกันจัง จนถ้าฉันเกิดร่ำรวยล้นฟ้าขึ้นมาแล้วไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมาถือ
คงได้โดนด่าว่าเป็นพวกไม่สนใจชาวเอธิโอเปียเป็นแน่ นับว่าเป็นโชคดีแท้ ๆ ที่ฉันยังคงคอนเซ็ปต์อ่อนไหวและยากจนไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาและก้มหน้าก้มตามีเศรษฐกิจพอเพียงไปอย่างหน้าชื่นตาบาน

คุณพี่วุฒิชัยเคยพลัดหลงมาเยือนแถว ๆ อพาร์ทเม้นท์ฉัน วันนั้นฉันเลยพาไปเดินชมโลกลี้ลับของฉันเสียจนคุณพี่ตกใจ
ฉันพาคุณพี่ไปร้านโปรดของฉันคือสหกรณ์กรุงเทพ (ที่นี่มีร้านขายหนังสือที่เจ้าของออกแนวจิตวิญญาณ ๆ อยู่ร้านหนึ่ง มี "โลกหนังสือ" ขายแค่เล่มละยี่สิบบาท และสินค้าของที่นี่ทำให้เกิดบรรยากาศถวิลหาอดีตอย่างลึกซึ้ง) ถัดจากนั้นก็พาไปเดินแผนกไอทีของพาต้า ปิ่นเกล้า (ดีแค่ไหนที่ไม่พาไปดูคิงคอง) ผลคือคุณพี่บอกว่า "ไลฟ์สไตล์ของฉันนั้นมันอุบาทว์สิ้นดี" ไม่มีความคูลใด ๆทั้งนั้น แถมยังหาว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันคงเป็นพวกใช้ผ้าฝ้ายพัน ๆไว้รอบคอ (เหมือนเหล่าเอ็นจีโอ) ใช่ไหม อู๊ย...ไม่ใช่หรอกค่า ว่าไปนั่น!!

ฉันไม่มีปัญหากับความไม่คูลของตัวเองและมีความสุขดีพอสมควร
บางครั้งสุขมากจนอิจฉาตัวเอง แต่วันไหนที่ทุกข์มาก ฉันก็แค่ไปนอนให้คุณหมอนวดบีบเฟ้นไปตามร่างกาย ด้วยเงินแค่ 250 บาท โลกก็น่าอยู่ขึ้นเป็นกอง

ฉันชอบหนังสือเรื่อง "จะเลือกเงินหรือชีวิต" มาก และเราหลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง การเลือกหินที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองใส่ไว้ในขวดโหลก่อน หาไม่แล้วคุณจะไม่สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้จริง ๆ
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องไลฟ์สไตล์อันไม่เก๋ของฉันหรอก แต่ฉันว่าถ้าเรามีความสุขก็พอ ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรอีก

ฉันไปกินข้าวที่พารากอนครั้งแรกเพราะคุณน้องโอปอกับคุณน้องบุ๊ยพาไป มันอร่อยมากกกกจนฉันตื่นตะลึง ทำไมข้าวไข่เจียวจานละ 50 บาทถึงอร่อยฉิบหายวายป่วงขนาดนี้ นาน ๆ กินทีก็เข้าท่าเหมือนกัน
ล่าสุดเพื่อนรักของฉันที่ตั้งแต่จบมาไม่เคยทำงานอย่างจริงจังเพราะมีแฟนดีคอยหาเลี้ยง โทรมาบอกว่าเธอได้งานที่บ้านเกิดแล้ว เงินเดือนตั้ง 7 พันกว่าบาทแน่ะ ด้วยเงินขนาดนี้เธอจะสามารถมีเงินเก็บได้ราว 3 พันบาทต่อเดือน ผลคือฉันเป็นลมล้มตึงไปเลย !

วันนี้อ่านเจอในคลีโอเรื่อง "ลาต้ เอฟเฟค" คือการใช้เงินกับเรื่องไม่เป็นเรื่องวันละเล็กละน้อย ผลคือนานวันเข้ามันก็จะสะสมเป็นเงินก้อนโต เฉกเช่นการกินกาแฟลาเต้แก้วละ 50 บาท ทุกวัน ปีหนึ่งจะตกถึง 7200 บาทแน่ะ

พรุ่งนี้ฉันจะเริ่มเก็บเงินให้ได้! แต่ขอเป็นพรุ่งนี้จริง ๆ นะ วันนี้ขอไปเดินสหกรณ์กรุงเทพก่อนแล้วกัน

Friday, November 03, 2006

เร็วไม่ว่า ช้าให้เป็น

ช่วงนี้กำลังดื่มด่ำกับหนังสือที่แค่เห็นหน้าปกกับคอนเซ็ปต์เล่มก็รู้แล้วว่าต้องชอบ ๆ แน่ ๆ"เร็วไม่ว่า ช้าให้เป็น"
คนเขียนได้แรงบันดาลใจจากความตื่นตะลึงของ "นิทานก่อนนอนหนึ่งนาที" สังคมมันน่าเศร้าขนาดนี้เลยละ
จนต้องย่อซินเดอเรลล่าและคนแคระทั้งเจ็ดให้มาอัดแน่นกันในความยาวหนึ่งนาที

เวลาอ่านฮาวทูของฝรั่งต้องยอมรับว่าเค้าเขียนเก่งจริงๆ เข้มข้นด้วยข้อมูลมาก ๆ
ฉันเคยอ่านฮาวทูของไทยในนิตยสารหนึ่ง เค้าเขียนเรื่องวิธีไปวัด ไว้ว่า 1 อย่าแต่งตัวโป๊ 2 อย่าฉีดน้ำหอมมากเกินไป 3 วางตัวให้เหมาะสม เวรเอ๊ย.......ที่บอกมาเนี่ย ไม่รู้เลยนะเนี่ย!!!!!!

ในหนังสือเล่มนี้มีที่จิ๊ดใจอยู่ตรงหนึ่งคือ "ความเร็วช่วยให้เราปกปิดความน่าสะพรึงกลัวและแห้งแล้งของโลกสมัยใหม่เอาไว้ ในยุคของเรามีแต่ความปรารถนาที่จะลืม" คนที่พูดก็คือคุนเดอรานั่นเอง

มาคิดดูว่าฉันเคยมีช่วงเวลาที่ชีวิตช้ามาก ๆ ไหม ก็ต้องนึกย้อนไปไกลตอนที่ไปฝึกงานตอนปี 4
เพราะความที่เรียนมานุษยวิทยา เลยต้องลงพื้นที่ไปอยู่กับชาวบ้าน เลือกไปไกลถึงแม่ฮ่องสอนอยู่กับชาวลีซอ
เพราะไม่มี "โทรศัพท์และเครื่องปรับอากาศ" แถมไม่มีทีวีและวิทยุ ตื่นมาก็ทำกับข้าวตามมีตามเกิด
นั่งรอข้าวค่อย ๆสุกจากเตาดินเผา มีเวลาว่างมากขนาดตอนบ่าย ๆมานั่งทำแยมไว้กินด้วยแน่ะ!

แถมยังสนุกกับการหาเหาให้เด็ก ๆ และลามไปหาให้คนเฒ่าคนแก่
มีเวลาไปฟังคนแก่ ๆ ประจำหมู่บ้านเล่านิทานพื้นบ้านที่ไม่มีใครบันทึกไว้
มีเวลาไปเล่นน้ำจนปากซีด และมีเวลามากพอที่จะรู้ว่าคนบ้านไหนไม่ถูกกับบ้านหลังไหน และใครในหมู่บ้านเป็นญาติกันมั่ง หนึ่งเดือนในหมู่บ้าน ผ่านไปช้ามากๆๆๆๆ บางบ่ายที่ร้อนมากๆ ฉันรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ สลับกับความรู้สึกที่ว่าทำไมเราถึงไม่ชินกับความช้าได้สักที ทั้งๆ ที่ลึก ๆแล้วเราก็ชอบมันนะ (งงไหมเนี่ย)
เห็นไหมละว่าความเคยชินคือคำสาปที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์?


กลางคืนท่ามกลางแสงเทียนมืดมิด ก็มีเวลาว่างพอที่จะนึกถึงเรื่องราวที่ไม่เคยคิดว่าจะนึกถึงมาก่อน
นั่นคือช่วงเวลาที่ชีวิตฉันช้าที่สุดแล้ว พอมองย้อนกลับไปถึงได้รู้ว่าอาจารย์ไม่ได้ให้พวกเราไป "ฝึกงาน" หรอก
แต่ให้เราไปเรียนรู้ความเป็นคน ที่ต้องเข้าใจคนอื่นและเข้าใจตัวเองไปพร้อม ๆกัน และนี่คือพื้นฐานสำคัญของการเรียนมานุษยวิทยา