Monday, March 26, 2007

เพชรา

เพชรา
1
เราคิดถึงชื่อนี้ขึ้นมาตอนที่เห็น ภาวนา ชนะจิตทางทีวีตอนตีสาม เธอเป็นพิธีกรรายการพาเที่ยว พาชิมอะไรสักอย่างหนึ่ง ภาพของ “ไข่มุกแห่งเอเชีย” ที่เราเคยเห็นในหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติผุดขึ้นมาทันที เธอเป็นดาราที่โด่งดังมากในยุคหนึ่ง จนเมื่อนึกถึงดารารุ่นใหม่ ๆ เราก็นึกไม่ออกเลยว่าใครจะมีบารมีเท่าเธอได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นอกจากจะไม่ใช่ช่วงไพร์มไทม์ที่เป็นของเธอแล้ว เธอก็ถูกลืมไปจากหัวใจของใคร ๆหลายคน

จนเรานึกสงสัยว่าชื่อเสียงจะมีค่าอะไร เพราะท้ายที่สุดทุกคนก็จะถูกลืมอยู่ดี

2
“ตัดดีไหมพี่” เราถามช่างทำผมอีกเป็นครั้งที่สาม เธอเป็นช่างทำผมที่ใจดีพอที่จะมานั่งอธิบายให้เราฟังว่าผมแบบนี้ หน้าแบบนี้จะต้องทำผมอย่างไร และเพราะการตัดผมสั้นเป็นการทำเบบี้เฟซแบบเร่งด่วน เราเลยอยากตัดผมบ๊อบเทแบบจีจี้ (ที่ดูกราฟฟิคมากกว่าบ๊อบเทบ้านๆ ซึ่งหมายความว่าเท่กว่ากันเป็นกอง)

“บอกว่าไม่สวยยังทนได้ แต่บอกว่าแก่นี่ มันทำอะไรไม่ได้เลยนะพี่” ช่างทำผมหัวเราะก๊ากทันที และวันนั้นเราก็เดินออกจากร้านมาโดยที่ไม่ได้ตัดผม

“ฮัลโหล” เสียงของเพชรา เชาวราษฎร์รับสาย หัวใจเราเต้นแรงมาก ๆ ช่วงที่เขียนบทโทรทัศน์ “พงศาวดารหนังไทย” หน้าที่ของเราคือการขลุกอยู่ที่หอภาพยนตร์แห่งชาติ ภาพใบหน้าตอนหนุ่มสาวของสรพงศ์ ชาตรี สุเชาว์ พงษ์วิไลและยังพิสมัย วิไลศักดิ์อีกละ เหมือนเป็นภาพที่หลุดออกมาจากโลกอื่น เพราะเมื่อเราเห็นคนเหล่านี้โลดแล่นอยู่บนจอ เขาก็ไม่ได้มีใบหน้าเต่งตึง เยาว์วัยแบบนั้นอีกแล้ว

แล้วเราก็พูดสิ่งที่ซ้อมมาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เจ้านายของเราอยากให้เพชรามาออกรายการ ซึ่งเราก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าโอกาสที่เธอจะมาปรากฏตัวมีน้อยมาก เธอซักถามถึงรายละเอียดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนที่จะปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเธออยากอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครเคยเห็นเธออีกเลยหลังจากที่เธอสูญเสียการมองเห็น และเธอก็ฉลาดพอที่จะหยุดความทรงจำของทุกคนไว้ตรงช๊อตที่เธอคิดว่าคือความหอมหวานของชีวิตที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหวนมาอีก

“ตอนแรกไม่ชอบชื่อนี้เลย เพราะมันออกเสียงเหมือนคำว่า เพชร-ชรา” เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้อย่างนี้ เพชราเป็นนักแสดงภาพยนตร์อาชีพโดยแท้จริง เชื่อไหมว่าเธอเป็นนางเอกหนังกว่า 300 เรื่อง !

เจ้าหน้าที่หอภาพยนตร์บอกเราว่าทุกวันนี้เพชรายังออกไปทำผม เดินช้อปปิ้งข้างนอกเหมือนคนปกติโดยมีคนรับใช้เป็นคนพาไป แต่เธอจะไม่แสดงตัวว่าเธอเคยเป็นเพชรา ดาราขวัญใจชาวไทยที่คำว่าโด่งดังยังเป็นคำพูดที่น้อยเกินไป แว่นตาสีดำจะเป็นตัวปกปิดเธอจากแฟนภาพยนตร์บางคนที่อาจจะจำเธอได้ บางครั้งเมื่อเห็นหญิงสูงวัย ท่าทางเฉี่ยวในแว่นตาดำตามห้าง เราเป็นต้องหยุดมองพลางคิดว่านั่นใช่เพชราหรือเปล่า?
3

ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า ปีนี้เป็นปีที่คนรอบข้างเราแก่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นเพราะเราเพิ่งมาสนใจเรื่องความแก่เลยเพ่งแต่จะดูว่าใครแก่ เฮ้อ...พี่สาวเรารีบหาครีมที่ดีที่สุดมาใช้เพราะหน้าเธอเหี่ยวขึ้น แม่บอกเราว่าปีนี้ตามองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ และไหนจะยังลุงที่ผมขาวไปทั้งหัวจนเราตกใจ ลูกพี่ลูกน้องที่เราเคยเห็นว่าเขาสวยที่สุดก็เริ่มกลายเป็นซิ้มและขึ้นคาน และที่เครียดสุด ๆก็คือตีนกาและพุงของเราที่ฝังตัวอยู่แนบแน่น จนเรารู้สึกว่าทั้งสองอย่างเคยอยู่ในตัวเรา แต่มันได้ออกเดินทางไกลก่อนที่จะกลับมาเยือน “บ้าน” และไม่หายไปไหนอีก

“สังขารมีเสื่อมเป็นธรรมดา” ใคร ๆก็รู้แต่การทำใจได้มันเป็นคนละเรื่อง เราได้ยินเรื่องของคนมากมายที่บอกว่าเขาชอบตัวเองตอนที่อายุเยอะ ๆ เพราะแม้ร่างกายจะร่วงโรยแต่จะเข้าใจโลกมากขึ้น นั่นแสดงว่าชีวิตเขาต้องมีเรื่องพิเศษแน่ ๆเลยใช่ไหม แต่สำหรับคนที่นอกจากจะแก่ขึ้นแต่การใช้ชีวิตก็ยังถอยหลังเข้าคลองและได้แต่ถวิลหาอดีตละ

เราตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอก เพราะเรายังไม่ได้แก่อย่างจริงจัง ตอนนี้เราเป็นเพียงแค่คนหัดแก่สมัครเล่น
4
หลายวันต่อมา ทางช่องโทรมาบอกเราว่าเพชราโทรมาต่อว่าว่าบทโทรทัศน์ที่เราพูดถึงเธอนั้นมีข้อมูลที่ผิดพลาดไป ซึ่งเราก็ยอมรับความผิดพลาดนั้นแต่โดยดี เราไม่ได้เกิดในยุคนั้น สิ่งที่เรานำมาเขียนก็มาจากข้อมูลในหนังสือพิมพ์ แต่เราก็แอบดีใจนิดหน่อยว่าอย่างน้อยเธอก็ได้ “ฟัง” รายการที่เราเขียนถึงเธอ

เธอจะนั่งอยู่ตรงนั้น หูของเธอได้ยินเสียงคำบรรยายที่บอกว่าเธอเคยโด่งดังแค่ไหน

“ถ้าคนไทยคนไหนไม่รู้จัก มิตร-เพชรา คาดว่าเขาคนนั้นจะต้องเสียสติหรือมาจากดาวดวงอื่นเป็นแน่” มีคนเคยเขียนถึงเธอไว้อย่างนี้และมันก็กลายเป็นประโยคฮิตในเวลาต่อมา

แม้ว่าหลายคนจะลืมเธอแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สิ่งสำคัญคือเธอจะจำตัวเองในแบบไหน ชื่อเสียงเป็นความจอมปลอมจริงอยู่ แต่การได้มาซึ่งชื่อเสียงต่างหากที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย มันก็เหมือนกับคำพูดเชย ๆที่เราเคยได้ยินกันมาว่าชีวิตนี้เป็นของเรา- อะไรทำนองนั้น

เพชร-ชรา เพชร-ชรา ตอนนี้เธอจะชอบชื่อนี้ได้อย่างเต็มหัวใจหรือยัง?
“บอกว่าไม่สวยยังทนได้ แต่บอกว่าแก่นี่ มันทำอะไรไม่ได้เลยนะพี่”
บางทีช่างทำผมอาจจะหัวเราะเยาะเรา-ว่าเพิ่งมารู้เอาป่านนี้เหรอน้อง!

Monday, March 19, 2007

61 วินาที

วันก่อนแม่บอกเราว่าให้กินดีท็อกซ์ที่มีส่วนผสมของคลอโรฟิลด์แอนด์ บลา บลา บลา อันมีคุณสมบัติช่วยขับสารพิษในร่างกาย และเพราะไม่ตั้งใจฟัง เราเลยเทเจ้าซองนั้นหนึ่งซองผสมน้ำหนึ่งขวดแล้วกินจนหมด เพิ่งมารู้ทีหลังว่าต้องผสมในอัตราส่วน 1 ซองต่อน้ำ 4 ขวด...เกือบไปแล้วไหมละ

เพื่อนเราคนหนึ่งใฝ่ฝันว่าเธออยากจะไปเห็นทัชมาฮาลสักครั้ง เพราะมันคือสัญลักษณ์ของความรักอันยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่เราเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันคือตอนที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จนั้น พระเจ้าชาห์ ชะฮานคิดว่าหากปล่อยให้นายช่างกว่าหมื่นคนเล็ดลอดออกไปได้ ก็อาจจะไปสร้างสถาปัตยกรรมที่งดงามกว่าทัชมาฮาลก็เป็นได้ พระองค์จึงทรงสั่งให้สังหารทุกคนอย่างเลือดเย็น เพื่อเซ่นสังเวยความเป็นหนึ่งเดียวของอนุสรณ์สถานแห่งความรักนี้ แน่นอนว่าเราไม่บอกเรื่องนี้กับเพื่อน และเมื่อวันที่เธอไปยืนดูทัชมาฮาลมาถึง เธอก็จะเห็นแต่สิ่งที่เธออยากเห็น

ศิลปินคนหนึ่งบอกเราว่าการที่ศิลปินต่างตะเกียกตะกายหาที่แสดงงาน แม้งานนั้นจะไม่สามารถทำให้เขามีชื่อเสียงภายใน 15 นาที แต่อย่างน้อยสังคมก็จะมี “ข้อมูลคร่าว ๆ” ของเขาอยู่ในหัว อย่างน้อยกูเกิ้ลก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา...บ้างก็ยังดี

พักนี้เราเลยชอบคิดเรื่อง “ข้อมูลคร่าว ๆ” บ่อย ๆ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ “รู้อะไรรู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจักเกิดผล” แต่เราหมายถึงการที่ข้อมูลรอบตัวเรามันเยอะแยะไปหมด หรือการที่แม้แต่ตัวเราเองก็เบื่อ ไม่มีแก่ใจ รำคาญไปจนถึงไม่ว่างกับการรับรู้ สิ่งที่เห็นหรือได้ยินจึงเป็นเหมือนเศษนุ่นที่ลอยพัดผ่าน เหมือนภาพตัดสลับที่โผล่มาแล้วหายไปในชั่วกระพริบตา แต่เพราะชีวิตคือเรื่องของประสบการณ์ เราจึงเติบโตมาเป็นเราทุกวันนี้โดยมีคอนเซ็ปต์เรื่องคร่าว ๆ เป็นของขวัญ แต่มองอีกด้านถ้าเราไม่มีเรื่องคร่าว ๆนี้เลย โลกคงหดเหลือนิดเดียวเอง สมองเราคงไม่มีพื้นที่ให้ฟุ้งซ่าน เราไม่ได้โลภมากถึงขั้นคิดว่าตัวเองต้องรู้ลึกกับทุกเรื่อง เข้าใจมนุษย์ทุกคนไปถึงรูขุมขนหรอกนะ เพียงแต่สงสัยว่าถ้าเป็นอย่างนี้มาก ๆเข้า เราจะกลายเป็นคนชุ่ยในการมองโลกหรือเปล่า

บางวันเรามีโอกาสมองดูท้องฟ้าแค่คร่าว ๆ ยังไม่ได้รู้จักกันดีเลย ก็ต้องรีบวางสายตาจากท้องฟ้าไปทำอย่างอื่น เราว่าการไปทำ “อย่างอื่น” อยู่เรื่อยๆ นี่แหละ ที่ทำให้เราไม่เคยทำอะไรที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองไปตลอดกาลได้สักที มีชีวิตอย่างคร่าว ๆ แต่ไม่เคยมีชีวาจริงๆ

เด็กในอินเดียถูกซื้อตัวไปเป็นโสเภณีในราคา 1500 บาท แต่คำถามคือว่าตัวเลขนี้คือเมื่อปีไหน ครั้งหนึ่งเราเคยนั่งทำงาน และได้ยินข่าวต่างประเทศจากช่อง 7 รายงานว่ามีการค้นพบที่น่าตื่นเต้นยิ่งของนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือทุกวันนี้ หนึ่งนาทีนั้นมีค่าเท่ากับ 61 วินาทีทั้ง ๆที่ก็ตื่นเต้นนะ แต่ทำไมเราถึงไม่ยอมละสายตาจากหน้าคอมก็ไม่รู้ สักพักข่าวนี้ก็จบลงโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่นั่งใจลอยบนรถเมล์เราก็ค้นพบว่าตัวเองกำลังคิดเรื่อง 61 วินาทีแต่ก็ไม่มีอะไรที่จะนำมาปะติดปะต่อได้ 61 วินาทีแล้วไง? เหมือนผีพุ่งไต้ที่โผล่มาแล้วก็หายไป ไม่สามารถสร้างประโยชน์อันใดจากข้อมูลที่สั้นขนาดนี้

เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ เราชอบอ่านข่าวสั้นที่เป็นกรอบเล็ก ๆ อยู่หน้าหลัง ๆ ทำนองว่านายคำฟันตาแสงผู้เป็นพ่อตาย นางสวาทร้องเรียนว่ากระเป๋าตังค์หาย มันเป็นข่าวที่ยาวราว 10 บรรทัด อ่านยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรก็จบแล้ว หากมีมนุษย์ต่างดาวเอามีดมาจี้เราและถามว่าเรามีชีวิตอยู่ไปทำไม เราคงตอบเขาไปว่าชีวิตเรามันแหว่งวิ่นในเรื่องความลึก ล้นเกินในเรื่องทั่ว ๆไป มีความใจลอยเป็นตัวเชื่อมเรากับโลกนี้ และความรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางตลอดเป็นแรงขับเคลื่อนให้หายใจไปวัน ๆ

คนที่รายล้อมเราทุกวันนี้เหมือนเป็นคนในข่าวสั้น รู้จัก..เราเคยรู้จักกันก่อนไหม เราอาจจะเคยไปเมนท์บล๊อกคุณ จำได้ว่าคุณชอบไปกินไอติมร้านหนึ่งแถวสยาม เข้าใจ....เราจะเข้าใจคุณได้ยังไง ในเมื่อโลกของภาษาเป็นโลกที่พูดความจริงเท่าที่ใจรู้สึกได้เพียงคร่าว ๆและยิ่งถ้าคุณไม่มีความสามารถในการพรรณนา โลกก็ไม่มีวันเห็นหรอกว่าคุณรู้สึกรู้สากับสิ่งไหนมากแค่ไหน มีคำพูดที่บอกกันต่อๆ มาว่า แม้ความโรแมนติคจะเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองซึ่งจะหายไปตามกาลเวลา แต่ความรักไม่ใช่เรื่องของอะไรที่ซับซ้อนหรอก นอกจากการเห็นชีวิตของกันและกันอย่างทะลุปรุโปร่งและยอมรับมันได้

นักเขียนคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า คนเราทุกวันนี้เหมือนตัวละครที่ไม่มีหน้า แต่เราว่าไม่มีหน้านั่นก็ยังดีนะ เพราะอย่างน้อยก็แสดงว่าเรากับคนนั้นไม่มีความเชื่อมโยงอะไรกัน แต่การที่ต้องเชื่อมโยงกันแบบคร่าว ๆแบบการมีแค่คีย์เวริดเป็นตัวอธิบายสิน่ากลัวกว่า เราเห็นตา เห็นคิ้วแต่ไม่เห็นปากเขา นี่ก็ไม่ต่างจากใบหน้าของสัตว์ประหลาดชัด ๆ

อ้อ....ถ้าคุณจะจำเรื่อง 1 นาทีมี 61 วินาทีไปเล่าให้ใครฟัง ช่วยจำไว้หน่อยนะคะว่าข่าวนี้ออกทางช่อง 7 สี แต่คุณรู้เรื่องนี้ผ่านบล๊อกโดยผู้หญิงคนหนึ่ง....ซึ่งคุณอาจจะไม่รู้จักหรือรู้จักเธอก็เพียงแค่คร่าว ๆ