Sunday, November 05, 2006

ไลฟ์สไตล์และลาเต้ เอฟเฟค

ช่วงนี้ใคร ๆก็พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกันจัง จนถ้าฉันเกิดร่ำรวยล้นฟ้าขึ้นมาแล้วไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมาถือ
คงได้โดนด่าว่าเป็นพวกไม่สนใจชาวเอธิโอเปียเป็นแน่ นับว่าเป็นโชคดีแท้ ๆ ที่ฉันยังคงคอนเซ็ปต์อ่อนไหวและยากจนไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาและก้มหน้าก้มตามีเศรษฐกิจพอเพียงไปอย่างหน้าชื่นตาบาน

คุณพี่วุฒิชัยเคยพลัดหลงมาเยือนแถว ๆ อพาร์ทเม้นท์ฉัน วันนั้นฉันเลยพาไปเดินชมโลกลี้ลับของฉันเสียจนคุณพี่ตกใจ
ฉันพาคุณพี่ไปร้านโปรดของฉันคือสหกรณ์กรุงเทพ (ที่นี่มีร้านขายหนังสือที่เจ้าของออกแนวจิตวิญญาณ ๆ อยู่ร้านหนึ่ง มี "โลกหนังสือ" ขายแค่เล่มละยี่สิบบาท และสินค้าของที่นี่ทำให้เกิดบรรยากาศถวิลหาอดีตอย่างลึกซึ้ง) ถัดจากนั้นก็พาไปเดินแผนกไอทีของพาต้า ปิ่นเกล้า (ดีแค่ไหนที่ไม่พาไปดูคิงคอง) ผลคือคุณพี่บอกว่า "ไลฟ์สไตล์ของฉันนั้นมันอุบาทว์สิ้นดี" ไม่มีความคูลใด ๆทั้งนั้น แถมยังหาว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันคงเป็นพวกใช้ผ้าฝ้ายพัน ๆไว้รอบคอ (เหมือนเหล่าเอ็นจีโอ) ใช่ไหม อู๊ย...ไม่ใช่หรอกค่า ว่าไปนั่น!!

ฉันไม่มีปัญหากับความไม่คูลของตัวเองและมีความสุขดีพอสมควร
บางครั้งสุขมากจนอิจฉาตัวเอง แต่วันไหนที่ทุกข์มาก ฉันก็แค่ไปนอนให้คุณหมอนวดบีบเฟ้นไปตามร่างกาย ด้วยเงินแค่ 250 บาท โลกก็น่าอยู่ขึ้นเป็นกอง

ฉันชอบหนังสือเรื่อง "จะเลือกเงินหรือชีวิต" มาก และเราหลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง การเลือกหินที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองใส่ไว้ในขวดโหลก่อน หาไม่แล้วคุณจะไม่สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้จริง ๆ
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องไลฟ์สไตล์อันไม่เก๋ของฉันหรอก แต่ฉันว่าถ้าเรามีความสุขก็พอ ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรอีก

ฉันไปกินข้าวที่พารากอนครั้งแรกเพราะคุณน้องโอปอกับคุณน้องบุ๊ยพาไป มันอร่อยมากกกกจนฉันตื่นตะลึง ทำไมข้าวไข่เจียวจานละ 50 บาทถึงอร่อยฉิบหายวายป่วงขนาดนี้ นาน ๆ กินทีก็เข้าท่าเหมือนกัน
ล่าสุดเพื่อนรักของฉันที่ตั้งแต่จบมาไม่เคยทำงานอย่างจริงจังเพราะมีแฟนดีคอยหาเลี้ยง โทรมาบอกว่าเธอได้งานที่บ้านเกิดแล้ว เงินเดือนตั้ง 7 พันกว่าบาทแน่ะ ด้วยเงินขนาดนี้เธอจะสามารถมีเงินเก็บได้ราว 3 พันบาทต่อเดือน ผลคือฉันเป็นลมล้มตึงไปเลย !

วันนี้อ่านเจอในคลีโอเรื่อง "ลาต้ เอฟเฟค" คือการใช้เงินกับเรื่องไม่เป็นเรื่องวันละเล็กละน้อย ผลคือนานวันเข้ามันก็จะสะสมเป็นเงินก้อนโต เฉกเช่นการกินกาแฟลาเต้แก้วละ 50 บาท ทุกวัน ปีหนึ่งจะตกถึง 7200 บาทแน่ะ

พรุ่งนี้ฉันจะเริ่มเก็บเงินให้ได้! แต่ขอเป็นพรุ่งนี้จริง ๆ นะ วันนี้ขอไปเดินสหกรณ์กรุงเทพก่อนแล้วกัน

2 Comments:

Blogger GMclub said...

ในอนาคตอาจมีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นคือนักวิเเคราะห์และผู้ให้คำปรึกษาเรื่องไลฟ์สไตล์ ที่ทำได้มากกว่าการอ่านหนังสือของพายภัทรียา และสถาบันจอห์น โรเบิร์ต พาวเวอร์ส เป็นแน่แท้

ชอบจัง เรื่องลาเต้ เอฟเฟค มันทำให้เราต้องขอเบรกนับนิ้วว่าปีนี้เราดูด(และ)ดื่มสตาร์บัคส์ ไปกี่แก้วแล้ว

ว่าแต่สหกรณ์กรุงเทพเนี่ยมันอยู่ตรงไหนเนี่ย

...blackcomedy

11:54 AM

 
Blogger the aesthetics of loneliness said...

กินกาแฟลาเต้แก้วละ 50 บาท 360 วัน รวมเป็นเป็น 18,000 บาทอ่ะ ไม่ใช่ 7,200 บาท
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเจ็ดพันกว่าบาทหรือหมื่นกว่าบาทต่อปี พี่คิดว่าเงินจำนวนเท่านี้ ไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้นหรือจนลงสักเท่าไร
เมื่อเดือนก่อนตอนที่พี่กำลังอยากจะซื้อกล้องดิจิตอลตัวใหม่ (อีกแล้ว) มันราคา 12,500 บาท ในวันแรกที่จะซื้อ พี่ไปดูที่พันทิบพลาซ่า เดินไปเดินมาหลายร้าน ลองแล้วลองอีก ใช้เวลาหมดไปครึ่งวัน สรุปคือไม่ซื้อดีกว่า เพราะเสียดายตังค์
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน พี่คิดวนเวียนอยากได้มันอยู่ตลอดเวลา แล้วในที่สุด วันรุ่งขึ้นก็ต้องกลับไปซื้อมาอยู่ดี
เพราะพี่รู้สึกว่า เงิน 12,500 บาทนี้ มันไม่ได้ทำให้พี่รวยขึ้นหรือจนลงเลย ไม่ว่าจะซื้อมันหรือไม่ซื้อมัน พี่ก็ยังนั่งรถเมล์ไปกลับบ้านออฟฟิศทุกวัน นั่งกินข้าวในครัวทุกวัน การมีเงิน 12,500 อยู่ในบัญชี ไม่ได้ทำใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นคือ ถ้าเราไม่ใช่นายทุน ผู้เอาเงินไปลงทุนเพื่อสร้างเม็ดเงินกลับมา ถ้าเราอยู่ในฐานะมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ที่มีเงินเข้าบัญชีประจำ เราไม่มีทางร่ำรวยขึ้นมาได้ ด้วยการประหยัดเงินในหลักพัน หลักหมื่น หรือแม้กระทั่งหลักแสนหรอก
มันอยู่ที่ว่า เงินที่เราจ่ายออกไปนั้น สร้างอะไรกลับมาให้กับตัวเรามากขึ้นหรือเปล่าต่างหาก
เช่นถ้าเราจ่ายเงิน 100 บาทไปดูหนังทุกอาทิตย์ ถ้าเรากลับมาเขียนบล้อกวิจารณ์หนังทุกอาทิตย์เช่นกัน นั่นหมายความว่าเงิน 100 บาทนั้นคุ้มค่าสำหรับเราแล้ว
หรือถ้าเราควักเงินซื้อกล้องดิจิตอลไป 12,500 บาท แล้วเราถ่ายภาพที่สวยสุดยอดได้กลับมาสัก 2-3 รูป นั่นก็คุ้มค่าแล้วเช่นกัน
กลับมาที่เรื่องกาแฟลาเต้ ถ้าการจ่ายเงินซื้อกาแฟแก้วนั้นมากิน แล้วเราสร้างอะไรต่อเนื่องมาได้ ก็ถือว่ากาแฟแก้วนั้นคุ้มค่าแล้ว
แต่ถ้าเราบริโภคเพียงแค่เพื่อบริโภค เพียงแค่ไม่รู้จะทำอะไรมากไปกว่านั่งหายใจทิ้งในร้านกาแฟ พี่ว่าเงิน 50 บาทสำหรับกาแฟแก้วนั้นก็สูญเปล่า

10:21 PM

 

Post a Comment

<< Home