Sunday, October 29, 2006

จากผู้ป่วยะระยะสุดท้ายถึงเพชรฆาตขี้เกรงใจ

ฉันคงแก่ขึ้นจริงๆ แหละเพราะสังเกตว่าพักนี้ชอบคุยกับคนแก่ ๆ


วันเสาร์ แวะเอา GM ไปให้คุณหมอประสาน ต่างใจที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (เพราะดันส่งผิดเล่มไปให้คุณหมอ) ก็เลยถือโอกาสแวะดูคุณหมอตรวจคนไข้ไปด้วย มีอยู่คนหนึ่งเป็น "ศิลปินแห่งชาติ" ที่นอนป่วยรอความตายและเป็นอัลไซเมอร์ด้วย คุณหมอบอกว่าเขามักจะร้องไห้บ่อย ๆ เพราะจำอะไรไม่ได้ (และเราจะทำอะไรมากมายไปทำไม ในเมื่อท้ายที่สุดก็ต้องนอนร้องไห้เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครบนเตียงเหมือน ๆกัน)


มีอยู่คนหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นเอาพ่อมาทิ้งไว้ที่นี่และทุกเดือนเขาจะต้องมาจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลตกเดือนละหมื่นกว่าบาท เขาจ่ายเงินเสร็จแล้วก็ไปโดยไม่แม้แต่จะขึ้นไปเยี่ยมพ่อที่รออยู่ข้างบนทุก ๆวัน ในที่สุดชายคนนั้นก็ตายไปอย่างคนที่รอคอย (ฉันจะไม่มีลูกเด็ดขาด ซื้อประกันเหมือนอย่างที่คุณคำ ผกาว่าไว้ท่าจะดีกว่าเยอะ!)

ฉันชอบคุยกับคนแก่ ชอบมองดูท่าทางเวลาที่เขานึกถึงความหลัง แววตาที่เปล่งประกายและท่าทีเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้ง แต่คน อ่อนไหวและยากจนอย่างฉันไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป ฉันรู้และเข้าใจว่าโลกมันต้องเป็นอย่างนี้แหละ แต่ฉันไม่อยากมองดูแววตาของพวกเขานานเกินไป

"คนไข้คิดถึงท่านมาก โปรดมาเยี่ยมด้วย" นี่คือป้ายที่แขวนไว้หน้าทางเข้า

วันอาทิตย์ไปฟังงานเปิดตัวหนังสือ "เพชฆาตคนสุดท้าย"
แนะนำตัวเสร็จสรรพ ขอเบอร์โทรได้ก็รีบวิ่งแจ้นไปหลบมุม รอฟังเงียบ ๆ
ฉันไม่กล้าอยู่ใกล้เขานาน ๆ รู้สึกว่าเนื้อตัวเขาส่งความหมายบางอย่างที่ทำให้ฉันอึดอัด
พอเขาขึ้นเวที ฉันนั่งฟังไปก็ขนลุกเป็นระยะๆ ผู้ชายคนนี้บอกว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำงานนี้เด็ดขาด


"ช่วย ๆกันไปก่อน ถ้ามีคนมาสมัครงานนี้เมื่อไหร่ ผมจะให้คุณเลิกทันที" ด้วยความเกรงใจและไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร เขาเลยต้องมาเดินบนเส้นทางนี้ 20 ปีผ่านไป ไม่มีใครมาสมัครงานเป็นเพชฆาตสักคน เขาต้องสังหารคนไปกว่า 55 คน และบางคนก็ตายอย่างทรมานเหลือแสน

ประเด็นที่น่าสนใจคือตอนที่ใกล้จะถูกยิงเป้านั้น ทางการจะอนุญาตให้นักโทษ "เขียนจดหมาย" หาใครก็ได้ในระยะเวลาสามสิบนาที และโดยมากคนที่เขาเขียนถึงก็คือ "พ่อและแม่"

คุณเพชฆาตบอกว่าคนที่จะมาเป็นโจรหรือมือปืนรับจ้างนั้น โดยมากมักจะเริ่มต้นจากการ "ถูกเลี้ยงให้เชื่อง" (แหม พลอตเดียวกับเจ้าชายน้อยเลยนะ แต่โรแมนติกต่างกันเยอะ!) เมื่อกินของเขามามากก็ต้องทำงานใช้เขานั่นแหละ

มาคิด ๆดูแล้วทุกวันนี้คนเราก็ "ถูกทำให้เชื่อง" ด้วยวิธีการที่ต่าง ๆกันและบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เช่น ฉันมักถูกทำให้เชื่องด้วยผู้ชายหน้าตาดี ๆ อ่อนไหวนิดหน่อย และจะเชื่องมากขึ้นไปอีก ถ้ามันเกิดนิสัยดีด้วย

เสาร์-อาทิตย์นี้ของฉันจึงวนเวียนด้วย ความตายและความตายเช่นนี้แล

Monday, October 23, 2006

กร้านโลก

จู่ ๆฉันก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมา ตอนที่ไปนอนให้คุณหมอนวด ณ เฮลท์แลนด์กดจุดที่ท้องเพราะความเครียดลงกระเพาะจนอ้วกมาหลายวันติดต่อกัน พี่หมอนวดแกเห็นว่าตัวก็แค่นี้ ทำไมท้องของน้องถึงเต็มไปด้วยเส้นความเครียดที่มันทับถมจนตึงแน่นไปหมด กดตรงไหนก็เจ็บ จนต้องร้องเป็นแมวถูกน้ำ ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเลยบอกแกไปว่านั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานไปหน่อยเลยเครียด!

วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ตลกดี คนเขียนจีบปากจีบคอบอกว่า "อย่าซื้อถุงน่องลายตาข่ายมาใส่เด็ดขาดนะเคอะ ถ้าคุณไม่อยากดูกร้านโลก!"

มานึก ๆ ถึงคำว่า "กร้านโลก" ดูแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่ามันใช่ความหมายเดียวกับ "พอลลูชั่นเมืองหลวงจับ" ที่นิวัติ กองเพียรชอบใช้หรือเปล่า เขายกตัวอย่างให้เห็นว่าตอนที่เพ็ญพักตร์ ศิริกุลเข้ามา กทม ใหม่ ๆ หน้าตาของเธอยังกลมป๊อก ใสซื่อจนไม่มีเสน่ห์ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เมืองหลวงได้ค่อย ๆแกะสลักและเจียระไนให้เธอดูเย้ายวนและเป็นผู้หญิงของเมืองไปจนได้ หันหลับมามองตัวเอง ฉันคงไม่มีทางที่พอลลูชั่นเมืองหลวงจะจับจนกลายเป็นดาวเด่นอย่างคุณเพ็ญพักตร์เป็นแน่ มีแต่อยู่ไป ๆ แล้วจะถูกเมืองทำร้ายจนหน้าตาเหี่ยวแห้งและตายไปโดยมีแมวกำลังแทะศพมากกว่า

ฉันเคยเข้าไปในโรงหนังโป๊และเห็นกระเทยขายตัวอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าเนื้อตัวของพวกเธอมันดูบอบช้ำและอ่อนล้ายังไงไม่รู้ อาจเป็นเพราะพวกเธอมียี่ห้อของคำว่า "กร้านโลก" แปะไว้ก็ได้ เมื่อพวกเธอยิ้ม ฉันก็เลยเห็นแต่ความเริงร่าอย่างเศร้าสร้อย

เพราะชีวิตมีเพียงชีวิตเดียว คนเราจึงมองว่าต้องใช้ให้มันคุ้ม เราเฝ้าฝันถึงการเดินทางที่จะทำให้เรารู้จักโลกและรู้จักชีวิตมากขึ้น จากคำว่ากร้านโลก พวกเขาเรียกมันว่า การผจญภัย เราออกเดินทาง เรียนรู้ อดทน เรียนรู้ อดทน จำเพื่อที่จะลืมมันไปจนหมดสิ้น ไม่เคยมีใครยกย่องคนที่มีชีวิตธรรมดา คนที่นั่งไร้เดียงสา โง่งมอยู่ที่บ้านบนหุบเขา พวกนั้นนอกจากจะขี้เกียจตัวเป็นขนยังไม่กล้าแม้แต่จะมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อเห็นสิ่งต่าง ๆ และโลกก็ไม่เคยเห็นเขาเช่นกัน

ฉันไม่อยากอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ ฉันอยากผจญภัยแต่ไม่อยากกร้านโลก

เราอยู่ในยุคที่ไม่มีใครเชื่อว่าตัวเองจะเป็นคนธรรมดา ความฝันทุกอย่างเป็นไปได้แม้แต่ความฝันโง่ ๆ ในสายตาคนอื่น เราคิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ถ้าเพียงแต่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าเราใช้ชีวิตมาก ๆทำอะไรเยอะ ๆ เราจะเป็นได้มากกว่าที่เคยเป็น

ถ้าฉันแก่ตัวไปและมีใครมาคุยเรื่อง "life talk" กับฉัน ฉันจะเล่าเรื่องราวเข้มข้นที่ทั้งชีวิตฉันได้ประสบมา เพราะฉะนั้นฉันจะต้องเริ่มสะสมการผจญภัยให้มาก ๆ เสียตั้งแต่ตอนนี้ มันน่าเศร้าไปหน่อยไหมที่พอแก่ตัวไป สิ่งที่เราเรียนรู้ก็มาจากการเรียนรู้ชีวิตคนอื่น แต่สิ่งที่เราเรียนรู้จากชีวิตเราจริง ๆมันมีน้อยไปหน่อย

เขียนมาถึงตรงนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะจบเรื่อง "ความกร้านโลก" ของฉันอย่างไร
บางทีพรุ่งนี้ฉันอาจจะรู้!

สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ตอนอายุ 20 กว่า ๆ
1 อย่าทารองพื้นทั้งหน้าเพราะมันจะทำให้ดูหน้าใหญ่
2 การแสกผมกลางหรือข้าง มีผลมหาศาลต่อระดับความดูดีบนหน้า ดูสิ่งที่แมนดี้ มัวร์ ทำกับเธอก่อนและหลังตอนนี้สิ
3 คอสโมและคลีโอคือนิตยสารที่เหมาะแก่การอ่านก่อนนอนมากที่สุดเพราะทำให้เรามึนงงกับความสวยงามของผู้หญิงเหล่านั้น จนต้องรีบนอนเพราะเดี๋ยวผิวจะเหี่ยวก่อนวัยอันควร
4 ไม่ว่าอาชีพ "ยาม"จะได้เงินเดือนเท่าไร มันก็น้อยเกินไปกับหน้าที่ของเขาอยู่ดี
5 อย่ารักผู้ชายเพียงเพราะเขาให้แหวน
6 น้ำผึ้งไม่ได้มีฤทธิ์กล่อมประสาทและทำให้นอนหลับง่าย แต่ไวน์ดี ๆสักแก้วต่างหากที่เป็นสิ่งที่ควรดื่มเพื่อที่จะหลับ
7 ขอรองเท้าที่ใส่สบาย ๆให้ฉันสักคู่และฉันจะพิชิตโลกให้ดู
8 อยู่ห่างคนใจร้ายเข้าไว้ ราคาแห่งความศรัทธาไม่ควรแพงจนเราเกลียดตัวเอง
9 มีสมาธิให้มากขึ้นและชีวิตจะดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
10 คืนวันศุกร์นอนดูกบนอกกะลายังดีกว่าไปนั่งไร้สาระกับกลุ่มเพื่อนที่เราไม่ได้ตั้งใจฟังเขาพูดจริงๆ
11 ฟัง ฟัง ฟังเมื่อคนอื่นพูด
12 ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและลืมมันซะ!
13 คอลัมน์ทำนายดวงใน "คู่สร้างคู่สม" แม่นจนน่าขนลุก
14 มีแต่คนนิสัยดีเท่านั้นที่จะทำงานที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่เย่อหยิ่งอย่าง "การพิสูจน์อักษร" ได้

Sunday, October 22, 2006

เหตุเกิดเพราะแท็กซี่

อยู่ดีไม่ว่าดี ออกไปใช้สังขารที่งานหนังสือ คนมากมายล้านแปดแสน
เลยเป็นลมประชดคนเยอะมันซะเลย น่าเศร้ากว่านั้น เพราะก็ต้องรีบหายหน้ามืด ถ่อสังขารไปแย่งแท็กซี่กับชาวบ้าน
นานแสนนาน กว่าจะได้ขึ้นแท็กซี่ นั่งไปอยู่ดี ๆ พี่ก็ดันตดให้หนูดมซะอย่างนั้น
โอ้! แม่เจ้า เป็นเรื่องที่โหดร้ายสำหรับดิฉันอย่างยิ่ง
เปิดหน้าต่างให้ลมโกรกกรากก่อนที่จะปิด นั่งไปอีกห้านาที พี่ก็ดันตดให้หนูดมอีก (ทำไมไม่อึออกมาเลยละคะ คุณขา)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคนขับแท็กซี่

Friday, October 20, 2006

สัปดาห์หนังสือ

และแล้วงานหนังสือก็เวียนมาอีกครั้ง
ดิฉันยังมิได้ไปเดินลั้ลลาร์ที่งานเลยนะเนี่ย
เวลาเห็นคนมากมาก ก็จะงงตลอดว่าเขาเอาเงินทองมาจากไหนมาซื้อหนังสือ

เลยมานั่งนึก ๆ ดูว่าหนังสือที่มีในครอบครองตอนนี้ก็มีแต่คนให้มาแทบทั้งนั้น
พ่อเราเป็นคนชอบสะสมหนังสือ หนังสือที่บ้านมีมากกว่าพันเล่มได้ เพราะพ่อเก็บ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆทุกอย่างไม่เคยทิ้ง
วันก่อนเจอพี่โลเล แกบอกว่ากำลังทำใจที่จะหัดทิ้งหนังสือที่ไมได้ใช้ได้แล้ว เพราะคนเรามักนึกว่าเก็บไว้เผื่อได้ใช้ประโยชน์ แต่พอเอาเข้าจริงก็ต้องใช้เวลากับการรื้อค้นทั้งวัน ไม่ได้ทำงานกันพอดี

บังเอิญไม่ได้สะสมอะไรในชีวิต เลยนึกไม่ออกว่าจะ "ทิ้ง" หนังสือมากมายที่ตัวเองเป็นเจ้าของตอนนี้ได้ไหม
ใครเคย "ทิ้ง" หนังสือบ้าง ทำใจยังไงและทิ้งเพราะอะไรเอ่ย?